สมัครงาน HOTPOT พาร์ทไทม์ รับสมัครงานหลายอัตรา

สมัครงาน HOTPOT พาร์ทไทม์ (Hot Pot)  รับสมัครงานหลายอัตรา โดยทำเป็นงาน Part time /Full time ก็ได้ ขณะนี้ทางบริษัท Hot Pot ต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนหลายอัตรา สนใจรายละเอียด งาน Part time อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ




 สมัครงาน HOTPOT พาร์ทไทม์ รับสมัครงานหลายอัตรา


ลักษณะการทำงาน


  • - ดูแลครัวซูชิ, ครัวร้อน
  • - จัดเตรียมออเดอร์ให้กับความต้องการของลูกค้า
  • - ดูแลความเรียบร้อยในร้าน

คุณสมบัติผู้สมัคร


  • - เพศ ชาย/หญิง, อายุ 18 ปีขึ้นไป
  • - วุฒิการศึกษา ม.3 ขึ้นไป
  • - มีใจรักงานบริการ
  • - สามารถทำเป็นกะได้
  • - สนใจสมัครได้ทุกสาขา

สวัสดิการเพิ่มเติม


  • - เบี้ยขยัน
  • - ประกันอุบัติเหตุ
  • - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • - ค่าเดินทาง ค่าที่พัก
  • - ค่าครองชีพ
สาขาที่ปฏิบัติงาน :


  • Central World , Big C ราชดำริ


จังหวัดที่ปฏิบัติงาน : 


  • กรุงเทพมหานคร


วิธีการสมัครเพิ่มเติม








ประวัติบริษัท

บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “ฮอท พอท”) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2547 ในนามบริษัท ฮอท พอท จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 16 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารประเภทสุกี้ชาบู ภายใต้การบริหารของนางสาวสกุณา บ่ายเจริญ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหาร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและบุกเบิกธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มจากร้านอาหารสุกี้ชาบู ตามสั่ง หรือแบบ A La Carte (การสั่งอาหารที่มีอยู่ในเมนู) สาขาแรกในนามร้าน“โคคาเฟรช สุกี้” ที่ห้างตะวันออกคอมเพล็กซ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัว ภายใต้พื้นที่บริหารจัดการประมาณ 300 ตารางเมตร ซึ่งได้รับความนิยมมากและเป็นร้านสุกี้ร้านเดียวที่ขึ้นชื่อในจังหวัดฉะเชิงเทรา และต่อมาได้ขยายสาขาในห้างตามจังหวัดต่างๆ เช่น สระบุรี สุรินทร์ บุรีรัมย์ กำแพงเพชร และพิษณุโลกเป็นต้น โดยรูปแบบการขยายสาขาในขณะนั้นดำเนินการโดยจัดตั้งบริษัทต่างๆ เพื่อควบคุมร้านสาขาในแต่ละภูมิภาค

ในปี 2544 บริษัทได้เปลี่ยนแบรนด์ร้านอาหารจาก “โคคาเฟรช สุกี้” มาเป็น “ฮอท พอท สุกี้ ชาบู เรสโตรองต์”

ในปี 2547 ได้เปลี่ยนรูปแบบการบริหารการจัดการใหม่ โดยการก่อตั้งบริษัท ฮอท พอท จำกัด เพื่อเป็นศูนย์รวมในการบริหารงานและบริหารจัดการร้านสาขาทั้งหมด และในเดือนตุลาคม 2547 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40 ล้านบาท เป็น 56 ล้านบาท เพื่อรับโอนสินทรัพย์ของสาขาต่างๆ จากกลุ่มบริษัทเดิมเข้าเป็นสินทรัพย์ของบริษัท

ในปี 2548 บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการรุกตลาดร้านอาหารประเภทสุกี้ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยการเปิดร้านบุฟเฟต์อาหารนานาชาติที่เน้นอาหารประเภทสุกี้ ชาบูเป็นหลัก ที่สาขาเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 2 เป็นแห่งแรกในเดือนพฤษภาคม 2548 ในรูปแบบร้าน “ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์” ประกอบด้วยสุกี้ชาบูและอาหารนานาชาติหลากหลายกว่า 100 รายการ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีผู้ประกอบการธุรกิจสุกี้ชาบูรายใดดำเนินการ ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทประสบความสำเร็จสามารถเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ดี ลูกค้าให้การยอมรับและรู้จักแบรนด์ฮอท พอท มากขึ้น ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเปิดตัวในห้างสรรพสินค้าใหญ่ และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญบนแนวความคิดที่ว่า นอกจากอาหารที่อร่อยและการบริการที่ดีแล้ว ยังต้องมอบ “ความคุ้มค่า” ในการบริโภคให้กับลูกค้าเพิ่มมากขึ้นโดยบริษัทได้ตัดสินใจขยายธุรกิจไปในแนว “บุฟเฟต์” อิ่มได้ไม่อั้น All You Can Eat และได้ทยอยปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านอาหารจากร้านสุกี้ชาบูตามสั่งหรือแบบ A La Carte มาเป็นแบบบุฟเฟต์ เกือบทั้งหมด จนถึงปัจจุบันยังคงเหลือร้านสุกี้ชาบูแบบตามสั่งอยู่เพียง 2 สาขา เท่านั้น คือ สาขาในจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งหลังจากการปรับเปลี่ยนเป็นร้านบุฟเฟต์อาหารนานาชาติ ที่มีความแตกต่างกับร้านสุกี้หลายราย ประกอบกับการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพอาหารและการบริการ รูปแบบร้าน และความหลากหลายของอาหารอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้ปัจจุบัน (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555) บริษัทมีสาขาร้านมากถึง 138สาขา

ในปี 2549 กองทุนออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย(“กองทุนออรีออส”) และกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสินโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด (ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2554 เป็นต้นมาได้เปลี่ยนเป็นกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสินโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด) (“กองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสิน”) ได้ตกลงเข้าร่วมทุนในบริษัท โดยลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทจำนวน 860,000 บาท พร้อมทั้งให้เงินกู้ยืมในรูปตั๋วเงินที่ไถ่ถอนได้ (Secured Redeemable Note)จำนวน 78,940,000 บาท และตั๋วสัญญาใช้เงิน (Secured Promissory Note) แก่บริษัทจำนวนรวม 72,200,000 บาท โดยบริษัทนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและขยายสาขา ซึ่งเป็นผลให้ในวันที่ 28 ธันวาคม 2549 บริษัทต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 860,000 บาท โดยการออกหุ้นบุริมสิทธิจำนวน 86,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายต่อกองทุนออรีออส จำนวน 57,333 หุ้น และกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสิน จำนวน28,667 หุ้น โดยเป็นหุ้นบุริมสิทธิประเภทสะสมและร่วมรับในอัตราร้อยละ 35 ของเงินปันผลที่จ่ายทุกคราวหลังจากหักดอกเบี้ยตามระยะเวลาของตั๋วเงินที่ไถ่ถอนได้ โดยผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น มีสิทธิออกเสียง 35 เสียง

เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2550 บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานบนที่ดินเนื้อที่รวม 13-0-96 ไร่ ตั้งอยู่เลขที่ 11/1 ตำบลบึงคำพร้อย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นโรงงานผลิตอาหารและเป็นครัวกลาง ให้กับร้านสาขาทั้งหมดของบริษัท

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน2554 กองทุนออรีออส และกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสินได้ใช้สิทธิแปลงตั๋วเงินที่ไถ่ถอนได้เป็นหุ้นสามัญ ภายใต้เงื่อนไขสัญญาลงทุน (Investment Agreement) โดยบริษัทได้ชำระคืนเงินกู้ยืมตามตั๋วเงินที่ไถ่ถอนได้ให้แก่กองทุนออรีออสและกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสินจำนวนรวม 78,940,000 บาท และบริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 29,293,840 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 2,929,384 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เสนอขายให้แก่กองทุนออรีออส และกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสิน ในราคาหุ้นละ 26.95 บาท ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 56,860,000 บาท เป็น 86,153,840 บาท ต่อมากองทุนออรีออสและกองทุนส่วนบุคคลของธนาคารออมสินได้แปลงสภาพหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญทั้งจำนวน โดยเมื่อวันที่ 4และ 5กรกฎาคม 2554 บริษัทได้ลดและเพิ่มทุนจดทะเบียนตามลำดับ โดยได้ลดทุนจดทะเบียนในส่วนของหุ้นบุริมสิทธิทั้งหมดจำนวน 860,000 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 860,000 บาท เป็นจำนวนเท่ากับการลดทุนในหุ้นบุริมสิทธิดังกล่าว โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 86,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นบุริมสิทธิที่มีการลดทุนจำนวน 86,000 หุ้น ในราคาเสนอขายเท่ากับมูลค่าที่ตราไว้ ทำให้ปัจจุบันบริษัทไม่มีหุ้นบุริมสิทธิเหลืออยู่

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2554 บริษัทจดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด พร้อมการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 0.25 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 15,346,160 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 86,153,840 บาท เป็น 101,500,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 61,384,640 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 บริษัทได้เข้าซื้อและรับโอนกิจการร้านอาหารไดโดมอน ซึ่งเป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นจากบริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“ไดโดมอน”) รวมถึงการรับโอนสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานทั้งหมดและสินทรัพย์อื่นๆ เช่น สูตรอาหารและซอส ฐานลูกค้า สมาชิก คู่สัญญาทางธุรกิจ รวมทั้งพนักงานของไดโดมอน ตลอดจนเครื่องหมายการค้า ชื่อทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจร้านอาหารและอาหาร ได้แก่ ไดโดมอน อูมามิ ยาสุกิ และมิตาเกะ เพื่อมาดำเนินการต่อภายใต้การบริหารและจัดการของบริษัท

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 61,384,640 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท สำหรับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

ธุรกิจของบริษัท

บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติที่เน้นอาหารประเภทสุกี้ ชาบูเป็นหลัก ภายใต้แนวคิด “All You Can Eat” หรือ “อิ่มได้ไม่อั้น” โดยแบ่งประเภทร้านอาหารเป็น 2 ประเภท คือ ร้านอาหารบุฟเฟต์นานาชาติภายใต้แบรนด์หลัก “ฮอท พอท” ที่เน้นอาหารประเภทสุกี้ ชาบูเป็นหลัก และร้านอาหารบุฟเฟต์แนวปิ้งย่างและชาบูสไตล์ญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ “ไดโดมอน”

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 บริษัทมีสาขาร้านอาหารที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 138 สาขา ประกอบด้วยร้านฮอท พอท 117 สาขา (ไม่รวมสาขาแฟรนไชส์ ฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลลู 1 สาขา) และร้านไดโดมอน 21 สาขา สาขาเกือบทั้งหมดเป็นร้านแบบบุฟเฟต์ที่เสิร์ฟบนบาร์อาหาร มีเพียงร้านฮอท พอท 2 สาขา ในต่างจังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่เป็นร้านสุกี้ ชาบู แบบตามสั่ง (A La Carte)

ปัจจุบัน บริษัทจัดแบ่งร้านอาหารทั้งหมดออกเป็น 6 แบรนด์ ดังนี้

ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์

บุฟเฟต์นานาชาติสุกี้ชาบูและอาหารนานาชาติหลากหลายสไตล์กว่า 100 รายการ รวมทั้งขนมหวาน ไอศกรีม และเครื่องดื่ม ในราคา 329 บาทต่อคน (รวมเครื่องดื่ม)และจำกัดเวลาในการรับประทาน 1 ชั่วโมง 30 นาที

ฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลลู
บุฟเฟต์นานาชาติสุกี้ชาบูและอาหารหลากหลายสไตล์ รวมทั้งขนมหวาน ไอศกรีม เน้นความคุ้มค่าโดยการตั้งราคาที่ถูก ในราคา 289 บาทต่อคน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) และไม่จำกัดเวลาในการรับประทาน
ฮอท พอท เพรสทีจ
บุฟเฟต์นานาชาติสุกี้ชาบูและอาหารนานาชาติหลากหลายสไตล์ และอาหารสไตล์ยุโรป เน้นบรรยากาศที่หรูหราและวางตำแหน่งทางการตลาดที่สูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ในราคา 409 บาทต่อคน (รวมเครื่องดื่ม) และไม่จำกัดเวลาในการรับประทาน
ฮอท พอท สุกี้ ชาบู

ร้านอาหารสุกี้ชาบู แบบ A La Carte (การสั่งอาหารที่มีอยู่ในเมนู) เป็ดย่าง และน้ำจิ้มรสเลิศ“สูตรเด็ด” ตามสไตล์ดั้งเดิมของฮอท พอท ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านอาหารเกือบทั้งหมดมาเป็นสไตล์บุฟเฟต์

ฮอท พอท ราเมน บุฟเฟต์
ร้านราเมนแบบใหม่สไตล์ญี่ปุ่น ที่ให้บริการแบบบุฟเฟต์บนบาร์อาหาร ในราคา 289 บาทต่อคน (ไม่รวมเครื่องดื่ม)และไม่จำกัดเวลาในการรับประทาน
ไดโดมอน

ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์แนวปิ้งย่างและชาบูสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีเมนูอาหารอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากการปิ้งย่างให้เลือกอีกมากมาย ในราคา 259-329 บาทต่อคน ขึ้นกับสภาพร้าน/การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงร้านสาขานั้นๆ โดยปัจจุบันร้านส่วนใหญ่มีการปรับปรุงแล้วบางส่วน (Minor Renovate) และกำหนดราคาขายที่ 289 บาทต่อคน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) และจำกัดเวลาในการรัปประทาน 1 ชั่วโมง 30 นาที และสาขาไดโดมอนโฉมใหม่หรือที่มีการปรับปรุงใหญ่ของร้านแล้ว (Major Renovate) กำหนดราคาขายที่ 329 บาทต่อคน (รวมเครื่องดื่ม) และจำกัดเวลาในการรับประทาน 1 ชั่วโมง 30 นาที
นอกจากนี้ บริษัทยังให้สิทธิ (แฟรนไชส์) ในการใช้เครื่องหมายบริการ ฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลลู แก่ผู้ประกอบการร้านอาหาร 1 แห่ง ตั้งอยู่ภายในห้างฟอรั่ม จังหวัดชลบุรี โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคู่สัญญาเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท โดยบริษัทเป็นผู้ดูแลงานบริหารภายในร้านแฟรนไชส์ดังกล่าวทั้งหมด ได้แก่ งานปฏิบัติการ งานการตลาด งานจัดซื้อ งานผลิต งานขนส่งสินค้า งานซ่อมบำรุง งานบุคคล และงานบัญชี เป็นต้นโดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจแฟรนไชส์ ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมบริหารจัดการรายเดือนในอัตราร้อยละ 2 ของยอดขายสุทธิของร้านแฟรนไชส์ และรายได้จากการขายสินค้า ให้แก่ร้านแฟรนไชส์ ได้แก่สินค้าสดสินค้าแห้ง วัสดุสิ้นเปลือง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในร้านอาหาร เป็นต้น

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 สาขาร้านอาหารของบริษัท (ร้านฮอท พอท และร้านไดโดมอน) ที่เปิดดำเนินการแล้วมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 138 สาขา (ไม่รวมสาขาแฟรนไชส์) มีการกระจายตัวอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ครอบคลุมทุกภาคของประเทศ โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 61 สาขา ภาคกลาง 4 สาขา ภาคเหนือ 23 สาขา ภาคตะวันออก 11 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23 สาขา ภาคตะวันตก 7 สาขา และภาคใต้ 9สาขา ซึ่งทุกสาขาเป็นพื้นที่เช่า/พื้นที่เช่าระยะยาว (สิทธิการเช่า) ภายในห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด หรือ ศูนย์การค้าต่างๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการหรือความสะดวกสบาย ในการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละแบรนด์ได้เป็นอย่างดี โดยมีการวางแบรนด์หรือประเภทร้านอาหารที่แตกต่างกันไป ให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละประเภทของห้างที่แต่ละสาขาร้านอาหารนั้นตั้งอยู่ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกันเพื่อให้สามารถครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้ในทุกระดับ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา กลุ่มคนทำงาน และกลุ่มครอบครัว ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบความรวดเร็ว รักอิสระ ชอบรับประทานอาหารเป็นหมู่คณะ และเน้นความคุ้มค่า ซึ่งลูกค้าสามารถมีอิสระในการเลือกตักอาหารที่ต้องการบนบาร์อาหารได้ด้วยตนเอง และมีอาหารหลากหลายในราคาไม่แพง ภายใต้กลยุทธ์การกำหนดราคาขายที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทร้านอาหารหรือแบรนด์ โดยมีราคาบุฟเฟต์หลายระดับราคา ได้แก่ 259 บาทต่อคน และ 289 บาทต่อคน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) และ 329 บาทต่อคน และ 409 บาทต่อคน (รวมเครื่องดื่ม) (ราคาบุฟเฟต์ดังกล่าวเป็นราคาสุทธิที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) รวมทั้งมีการคิดราคาค่าปรับในอัตราคนละ 50 บาท ในกรณีที่ลูกค้าตักอาหารมากเกินความต้องการและรับประทานไม่หมด เพื่อสร้างวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่ดี และเป็นการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย อีกทั้งเป็นการลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นให้กับบริษัท และในกรณีที่รับประทานเกินเวลาที่กำหนด(สำหรับร้านอาหารบางแบรนด์) จะมีค่าปรับในอัตรา 20 บาทต่อคน ต่อทุก 10 นาที ที่รับประทานเกินเวลาที่กำหนด

บริษัทมีโรงงานหรือครัวกลางตั้งอยู่ที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่ 13-0-96 ไร่ ซึ่งผ่านการตรวจและได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ GMP (Good Manufacturing Practice) จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี และมาตรฐาน HACCP (Hazard Analysis And Critical Control Point) จาก Moody International (Thailand) Ltd. โดยโรงงานทำหน้าที่จัดหาอาหาร และวัตถุดิบ รวมทั้งผลิตน้ำจิ้มซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสหลักของสุกี้ ชาบู และผลิตอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น ลูกชิ้นประเภทต่างๆ ปลาหมึกยัดไส้ และหมูปรุงรส เป็นต้น เพื่อส่งให้แก่ร้านสาขาต่างๆ โดยมีการควบคุมคุณภาพของอาหารและวัตถุดิบต่างๆ รวมทั้งรสชาติอาหาร และน้ำจิ้ม ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีความคงที่สม่ำเสมอของรสชาติอาหาร บริษัทมีระบบการขนส่งวัตถุดิบและอาหารจากโรงงานหรือครัวกลางมายังร้านสาขาทั่วประเทศด้วยรถขนส่งของบริษัทเองทั้งหมด ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพ ความสดใหม่ กำหนดเวลา และต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งโรงงานหรือครัวกลางยังเป็นที่จัดเก็บวัตถุดิบทั้งของสดของแห้ง อาหารกึ่งสำเร็จรูป เครื่องปรุง อุปกรณ์ครัวและของใช้ในร้านอาหาร เป็นต้น โดยมีการวางแผนจัดเตรียมและสำรองให้เพียงพอกับความต้องการในแต่ละสาขา



0 Comments